เมื่อพูดถึงการเที่ยวชมทะเลหมอกหลายท่านคงจะนึกถึงการเที่ยวชมทะเลหมอกที่ภาคเหนือกันในช่วงของฤดูหนาวแต่ว่าวันนี้เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวชมทะเลหมอกที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปีที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้คนในพื้นที่ที่ได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ขึ้นมากันเอง
ซึ่งที่ที่เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวชมทะเลหมอกกันไม่ใช่ที่ภาคเหนือแต่เป็นที่ภาคใต้ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวแห่งนั้นก็คือ ยอดเขาฆูนุงซีลีปัต ตั้งอยู่ที่จังหวัดยะลา ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนทะเลหมอกแห่งแดนใต้ที่ทุกท่านจะต้องได้มาเยือนกันให้ได้เลยทีเดียวรับรองงว่าทุกท่านจะประทับใจอย่างแน่นอน
ยอดเขาฆูนุงซีลีปัต ทะเลหมอกเบตง (3)
นอกเหนือจากการชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงที่ขึ้นชื่อของจ.ยะลาแล้ว แต่ที่จังหวัดนี้ยังมีอีกจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามอีกหลายแห่งหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกสุดอลังการที่มองเห็นได้แบบ 360 องศา
เป็นสายหมอกที่แสนจะงดงามตามไหล่เขาสันกาลาคีรี ที่เรียงรายสลับซับซ้อนไม่ว่าท่านจะหันมองไปทางไหนท่านก็จะเห็นแต่สายหมอกขาวจรดขอบฟ้าครามที่โอบกอดท่านไว้ เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดความงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว
ส่วนท่านใดที่ชื่นชอบความท้าทายในการเดินขึ้นเขาต้องไม่พลาดเพราะจุดที่สำคัญของที่นี่คือการมีหมอกให้ชมได้ตลอดทั้งปีโดยที่ท่านไม่ต้องรอให้ถึงหน้าหนาว รับรองได้ว่าหากท่านได้ไปสัมผัสต้องประทับใจแบบไม่รู้ลืม
ทะเลหมอกแห่งนี้เรียกกันว่า ทะเลหมอกเขาฆูนุงซีลีปัต ซึ่งตั้งอยู่ที่ กม.28 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา เป็นจุดชมทะเลหมอกของเบตงที่สวยงามมากอีกจุดของอำเภอเบตง อยู่ห่างจากในเมืองเบตงไปตามเส้นทางหมายเลข 410 ประมาณ 21 กิโลเมตร และท่านจะสามารถมองได้รอบตัว 360 องศาจากยอดสูงของเขาลูกนี้ ซึ่งสูงถึง 607 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัตนั้นท่านสามารถเที่ยวได้แบบวันเดียว โดยขึ้นไปชมทะเลหมอกในตอนเช้า โดยเลือกพักที่ตัวอำเภอเบตง หรือจะพักค้างแรมข้างบนก็จุดกางเต็นท์ ซึ่งห่างจากจุดชมวิวประมาณ 200 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ของเอกชนมีเต็นท์ ถุงนอน และอาหารให้บริการหรือท่านจะเตรียมอาหารมาเองก็ได้
ยอดเขาฆูนุงซีลีปัต ทะเลหมอกเบตง (4)
โดยมี 2 เส้นทางให้เลือกเพราะเส้นทางเหล่านี้เป็นเส้นทางออฟโรดที่จะไม่สามารถใช้รถส่วนตัวขึ้นไปได้ เพราะเส้นทางขึ้นเหล่านี้เป็นสวนยางซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลจึงต้องใช้บริการนำเที่ยวของเจ้าของพื้นที่ให้มารับท่านจึงจะสามารถขึ้นไปชมทะเลหมอกข้างบนนั้นได้
เส้นทางแรก ก.ม. 21 สำหรับคนที่ไม่ชอบเดินไกลไม่ใช่สายเอดเวนเจอร์มาก ก็ให้รถมารับที่ตัวเมืองเบตงราคาเหมาคันละ 1500 บาท รับจากปากทางขึ้นราคา 1000 บาท พร้อมไกด์นำทางโดยนั่งรถโฟรวิวจากปากทางขึ้นใช้เวลา 20 นาที
จากนั้นท่านต้องเดินเท้าต่อไปอีก 700 เมตร เดินผ่านสวนยางที่ต้องไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆแต่ไม่ชันมาก จะชันที่สุดในช่วง 200 เมตรสุดท้ายที่ต้องไต่ขึ้นยอดเขาเป็นหินและมีเชือกให้จับเดินไปก็จะถึงจุดชมวิว เส้นทางนี้จะง่ายและค่อนข้างสะดวกกว่าเส้นทางที่สองมากนัก
อีกเส้นทาง คือ ก.ม. 28 สำหรับสายเอดเวนเจอร์ที่ชอบเดินป่า โดยนั่งรถโฟร์วิวมาประมาณ 3 ก.ม. และเดินเท้าต่อไปอีก 2 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนี้จะเดินทางนาน เหมาะสำหรับการมาค้างคืนมากกว่า
เส้นทางการเดินทางช่วงแรกๆนั้นจะต้องผ่านสวนยาง ซึ่งพอท่านผ่านสวนยางมาแล้ว ท่านก็จะถึงลานกางเต็นท์ จากนั้นเดินไปต่อยัง 200 เมตรสุดท้าย ซึ่งมีความพีคที่สุด และท่านก็จะต้องปีนขึ้นเขา เพราะบนยอดเขาเขียวแห่งนี้ด้านบนคือจุดชมวิวที่คาดว่าสวยมาก
แต่พอท่านเดินทางมาถึงข้างบนเขาซึ่งเป็นจุดชมวิวซึ่งมีลักษณะเป็นลานดินที่ไม่กว้างมากนัก มองลงไปเห็นสายหมอกอยู่รายล้อมเป็นวิวที่มีความสวยมากเป็นความสวยงามระดับทะเลหมอกทางเหนือ ให้อารมณ์ความรู้สึกแบบดอยผาตั้งในจังหวัดเชียงรายที่เราทุกคนยกให้เป็นทะเลหมอกอันดับ 1 ในใจ
แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ที่ดอยผาตั้งจะเห็นหมอกได้ในบรรยากาศแสงสีสวยๆแค่ภายในเพียงฤดูหนาว แต่ที่ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัตนั้น มีให้ท่านได้เที่ยวชมทะเลหมอกแห่งนี้ได้ตลอดทั้งปีถึงแม้ที่นี่จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเดินทางในช่วงไหนท่านก็จะสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้อย่างแน่นอน
แต่ท่านจะได้เห็นในแบบใด สวยมากสวยน้อยแบบไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่ระหว่างช่วงเวลาที่ท่านได้เดินทางมาเที่ยวทะเลหมอกของที่นี่และถือว่าเป็นยอดเขาที่เดินง่ายและว่ากันว่าตอนเย็นก็จะสามารถเห็นทะเลหมอกได้ บนยอดสุดของฆูนุงซีลีปัตซึ่งจะเป็นเส้นทางที่ชันล้วนๆและอากาศก็ราวๆ 30-40 องศาตามแนวระนาบได้
ท่านสามารถนั่งมองทะเลหมอกที่อยู่ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินใจ แบบไม่คิดว่าภาคใต้ของเราจะมีทะเลหมอกที่สวยงามขนาดนี้ เป็นความงามที่ซ่อนอยู่ในเมืองเบตง เมืองเล็กน่ารัก แต่ในเรื่องแหล่งท่องเที่ยวที่เบตงไม่เล็ก ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่รอให้ท่านเปิดใจมาเยี่ยมเยือนอีกมากมาย ชมวิวสวยๆกับน้ำตกธรรมชาติ